วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บทที่ 6 การติดตั้ง windows Server 2012
ระบบปฏิบัติการ windows Server 2012(R2) 

ประกอบด้วย  รุ่น ด้วยกัน คือ
1.Windows Server 2012 R2 Datacenter


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Windows Server 2012 R2 Datacenter

2.Windows Server 2012 R2 Standard
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Windows Server 2012 R2 Standard

3.Windows Server 2012 R2 Essentials
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Windows Server 2012 R2 Essentials
4. Windows Server 2012 R1 Foundation
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Windows Server 2012 R1 Foundation




สเปกขั้นต่ำของคอมพิวเตอร์ ที่สามารถนำมาติดตั้ง Windows Server 2012 R2 คือ
โปรเซสเซอร์ 64 บิต ความเร็ว 1.4 GHz ขึ้นไป
หน่วยความจำหลัก (RAM) ขั้นต่ำ 512 MB
ฮาร์ดดิสก์ความจุขั้นต่ำ 32 GB
การ์ดเครือข่าย (Gigabit Ethernet : 10/100/1000baseT)
เครื่องขับดีวีดีรอมทั่วไปที่สนับสนุน
คีย์บอร์ดและเมาส์ทั่วไปที่สนับสนุน

เครื่องขับดิสก์ ไม่จำเป็นต้องมี

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ส่วนประกอบของเครือข่าย

  ส่วนประกอบของเครือข่าย

    ส่วนประกอบของเครือข่าย ประกอบด้วย

         1. สายเคเบิล
         2. การ์ดเครือข่าย
         3. อุปกรณ์เพื่อการเชี่อมโยง
         4.เครื่องคอมพิวเตอร์
         5. ซอฟต์แวร์เครือข่าย
         6. โพรโทคอล









      รีพีตเตอร์/ฮับ  เป็นอุกรณ์ทวนสัญญาณ ที่ทำงานอยู่ในชั้นสื่อสารทางกายภาพบนแบบจำลอง OSI
โดย อุปกรณ์ฮับก็คือรีพีตเตอร์ชนิดหนึ่ง แต่เป็นรีพีตเตอร์ที่มีหลายๆ พอร์ต การเชื่องโยงเครือข่ายภาพฮับจะช่วยแค่เพียงเชื่อมโยงเครือข่ายด้วยระยะทาง ไกลเท่านั้น


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รีพีตเตอร์/ฮับ

      บริดจ์ เป็น อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายกับสะพานเชี่อมโยงระหว่างเครือข่ายสองเครือข่าย ขึ้นไป ทำงานอยู่ในชั้นสือสารกายภาพและชั้นสื่อสารเชื่อมต่อข้อมูล สำหรับเครือข่ายที่เชื่อมโยงผ่านอุปกรณ์บริดจ์นั้่น จะทำให้เกิดการแบ่งแยกเครือข่ายออกจากกัน ช่วยลดการคับคั้งของข้อมูลที่สื่อสารบนเครือข่าย




      สวิตซ์ เป็น อุปกรณ์ที่ผนวกคุณสมบัติระหว่างบิตและฮับเข้าด้วยกันกล่าวคือการทำงานของ สวิตซ์จะเหมือนกันบริด์ที่สามารถคัดกลั่นกรองข้อมูลภายในเครือข่ายได้ ในขณะเดียวกัน สวิตซ์ก็มีหลายพอร์เหมือนกันฮับที่สามารถไปเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์หลาย เครื่่อง


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สวิตซ์

     แอกเซสพอยต์ เป็นอุปกรณ์สำหรับรับส่งสัญญาณแบบไร้สาย หลังการทำงานคล้ายกับสวิตซ์แต่รับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย
 



     เร้าเตอร์  จะ ทำงานในสามลำดับชั้น แรกบนแบบจำลอง OSI ซึ้งประกอดด้วยชั้นสื่อสารทางกายภาพ ชั้นสื่อสารเชื่อมต่อข้อมูล และชั้นสื่อสารควบคุมเครือข่ายเร้าเตอร์จัดเป็นอุปกรณที่สำคัญมากในการ เชื่อมโยงเครือข่ายเข้าด้วยกันโดยเฉพาะ เครือข่ายอิเทอร์เน็ต



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เร้าเตอร์ ภาพ


     เกตเวย์  จะ ทำงานอยู่บนชั้น 7 ลำดับชั้น โดยมักนำเกตเวย์ไปใช้งานเพื่อเป็นประตูการเชื่อมโยงเครือข่ายกับคอมพิวเตอร์ ที่สถาปัตยกรรมระบบที่แตกต่างกัน เช่น เครื่องพีซี กับ เมนเฟรมคอวพิวเตอร์
 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เกตเวย์

รูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่ายและเครือข่ายท้องถิ่น

             

รูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่ายและเครือข่ายท้องถิ่น 

 

    การสื่อสารข้อมูลและเครือข่าย

1. โทโปโลยีแบบบัส
เป็นโทโปโลยีที่ได้รับความนิยมใช้กันมากที่สุดมาตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน ลักษณะการทำงานของเครือข่าย โทโปโลยีแบบบัส คืออุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่า”บัส” (BUS) เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนด หนึ่งภายในเครือข่าย จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าบัสว่างหรือไม่ ถ้าหากไม่ว่างก็ไม่สามารถจะส่งข้อมูลออกไปได้ ทั้งนี้เพราะสายสื่อสารหลักมีเพียงสายเดียว ในกรณีที่มีข้อมูลวิ่งมาในบัส ข้อมูลนี้จะวิ่งผ่านโหนดต่างๆ ไปเรื่อยๆ ในขณะที่แต่ละโหนดจะคอยตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมาว่าเป็นของตนเองหรือไม่ หากไม่ใช่ ก็จะปล่อยให้ข้อมูลวิ่งผ่านไป แต่หากเลขที่อยู่ปลายทาง ซึ่งกำกับมากับข้อมูลตรงกับเลขที่อยู่ของของตน โหนดนั้นก็จะรับข้อมูลเข้าไป

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โทโปโลยีแบบบัส
ข้อดี
1. ใช้สายส่งข้อมูลน้อยและมีรูปแบบที่ง่ายในการติดตั้ง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษา
2. สามารถเพิ่มอุปกรณ์ชิ้นใหม่เข้าไปในเครือข่ายได้ง่าย
ข้อเสีย
1. ในกรณีที่เกิดการเสียหายของสายส่งข้อมูลหลัก จะทำให้ทั้งระบบทำงานไม่ได้
2. การตรวจสอบข้อผิดพลาดทำได้ยาก ต้องทำจากหลาย ๆจุด
2. โทโปโลยีแบบดาว    
โทโปโลยีแบบดาว (Star Topology) เป็นรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือ ข่าย จะต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวกลางตัวหนึ่งที่เรียกว่า ฮับ (HUB) หรือสวิตช์ (Switch) หรือเครื่อง ๆ หนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อสายสัญญาญที่มาจากเครื่องต่าง ๆ ในเครือข่าย และควบคุมเส้นทางการสื่อสาร ทั้งหมด เมื่อมีเครื่องที่ต้องการส่งข้อมูลไปยังเครื่องอื่น ๆ ที่ต้องการในเครือข่าย เครื่องนั้นก็จะต้องส่งข้อมูลมายัง HUB หรือเครื่องศูนย์กลางก่อน แล้ว HUB ก็จะทำหน้าที่กระจายข้อมูลนั้นไปในเครือข่ายต่อไป
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โทโปโลยีแบบดาว

ข้อดี
– การติดตั้งเครือข่ายและการดูแลรักษาทำ ได้ง่าย หากมีเครื่องใดเกิดความเสียหาย ก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย และศูนย์ กลางสามารถตัดเครื่องที่เสียหายนั้นออกจากการสื่อสาร ในเครือข่ายได้เลย โดยไม่มีผลกระทบกับระบบเครือข่าย
ข้อเสีย
– เสียค่าใช้จ่ายมาก ทั้งในด้านของเครื่องที่จะใช้เป็น เครื่องศูนย์กลาง หรือตัว HUB เอง และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสายเคเบิลในเครื่องอื่น ๆ ทุกเครื่อง การขยายระบบให้ใหญ่ขึ้นทำได้ยาก เพราะการขยายแต่ละครั้ง จะต้องเกี่ยวเนื่องกับเครื่องอื่นๆ ทั้งระบบ
3. โทโปโลยีแบบวงแหวน (RING)  
เป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบเครือข่าย ทั้งเครื่องที่เป็นผู้ให้บริการ( Server) และ เครื่องที่เป็นผู้ขอใช้บริการ(Client) ทุกเครื่องถูกเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม ข้อมูลข่าวสารที่ส่งระหว่างกัน จะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปใน ทิศทางเดียวกัน โดยไม่มีจุดปลายหรือเทอร์มิเนเตอร์เช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS ในแต่ละโหนดหรือแต่ละเครื่อง จะมีรีพีตเตอร์ (Repeater) ประจำแต่ละเครื่อง 1 ตัว ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข้อมูลที่จำเป็นต่อการติดต่อสื่อสารเข้าในส่วนหัว ของแพ็กเกจที่ส่ง และตรวจสอบข้อมูลจากส่วนหัวของ Packet ที่ส่งมาถึง ว่าเป็นข้อมูลของตนหรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยัง Repeater ของเครื่องถัดไป
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โทโปโลยีแบบวงแหวน (RING)

ข้อดี
1.ผู้ส่งสามารถส่งข้อมูลไปยังผู้รับได้หลาย ๆ เครื่องพร้อม ๆ กัน โดยกำหนดตำแหน่งปลายทางเหล่านั้นลง
ในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล Repeaterของแต่ละเครื่องจะทำการตรวจสอบเองว่า ข้อมูลที่ส่งมาให้นั้นเป็น
ตนเองหรือไม่
2. การส่งผ่านข้อมูลในเครือข่ายแบบ RING จะเป็นไปในทิศทางเดียวจากเครื่องสู่เครื่อง จึงไม่มีการชนกัน
ของ สัญญาณข้อมูลที่ส่งออกไป
3.คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเน็ตเวิร์กมีโอกาสที่จะส่งข้อมูลได้อย่างทัดเทียมกัน
ข้อเสีย
1.ถ้ามีเครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย ข้อมูลจะไม่สามารถส่งผ่านไปยังเครื่องต่อ ๆ ไปได้ และจะทำ
ให้เครือข่ายทั้งเครือข่าย หยุดชะงักได้
2.ขณะที่ข้อมูลถูกส่งผ่านแต่ละเครื่อง เวลาส่วนหนึ่งจะสูญเสียไปกับการที่ทุก ๆ Repeater จะต้องทำการตรวจ
สอบตำแหน่งปลายทางของข้อมูลนั้น ๆ ทุก ข้อมูลที่ส่งผ่านมาถึง
4. โทโพโลยีแบบต้นไม้ (Tree Topology)
มีลักษณะเชื่อมโยงคล้ายกับโครงสร้างแบบดาวแต่จะมีโครงสร้างแบบต้นไม้ โดยมีสายนำสัญญาณแยกออกไปเป็นแบบกิ่งไม่เป็นวงรอบ โครงสร้างแบบนี้จะเหมาะกับการประมวลผลแบบกลุ่มจะประกอบด้วยเครื่อง คอมพิวเตอร์ระดับต่างๆกันอยู่หลายเครื่องแล้วต่อกันเป็นชั้น ๆ ดูราวกับแผนภาพองค์กร แต่ละกลุ่มจะมีโหนดแม่ละโหนดลูกในกลุ่มนั้นที่มีการสัมพันธ์กัน การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่นๆได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม และรับส่งข้อมูลเดียวกัน ดังนั้นในแต่ละกลุ่มจะส่งข้อมูลได้ทีละสถานีโดยไม่ส่งพร้อมกัน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โทโพโลยีแบบต้นไม้ (Tree Topology)

5. โทโพโลยีแบบผสม (Hybrid Topology)
เป็นเครือข่ายที่ผสมผสานโทโพโลยีแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่เพียงเครือข่ายเดียว เช่น การเชื่อมเครือข่ายแบบวงแหวน แบบดาว และแบบบัสเข้าเป็นเครือข่ายเดียวกัน
เครือข่ายบริเวณกว้าง (WAN) เป็นตัวอย่างที่ใช้ลักษณะโทโพโลยีแบบผสมที่พบเห็นมากที่สุด เครือข่ายแบบนี้จะเชื่อมต่อทั้งเครือข่ายขนาดเล็กและขนาดใหญ่ หลากหลายที่เข้าด้วยกัน ซึ่งอาจจะถูกเชื่อมต่อจากคนละจังหวัด หรือคนละประเทศก็ได้ ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีสาขาแยกย่อยตามจังหวัดต่าง ๆ สาขาที่หนึ่งอาจจะใช้โทโพโลยีแบบดาว อีกสาขาหนึ่งอาจใช้โทโพโลยีแบบบัส การเชื่อมต่อเครือข่ายเข้าด้วยกันอาจใช้สื่อกลางเป็นไมโครเวฟ หรือดาวเทียม เป็นต้น
 https://oonuma55.files.wordpress.com/2013/02/014.jpg

สื่อสารกลางส่งข้อมูลและการรับส่งข้อมูลบนเครือข่าย

สื่อสารกลางส่งข้อมูล
และการรับส่งข้อมูลบนเครือข่าย


การส่งสัญญาณแบบเบสแบนด์ เป็นการใช้ช่องทางการสื่อสารเพียงช่องทางเดียวสำหรับการส่งสัญาณดิจิตอลในแต่ละครั้งในช่วงเวลาหนึ่ง
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การส่งสัญญาณแบบเบสแบนด์
การส่งสัญาณแบบรอดแบนด์ เป็นการใช้ช่องทางการสื่อสารหลายช่องทางเพื่อส่งสัญญาณ แอนะล็อก โดยข้อมูลที่ส่งสามารถลำเลียงอยู่บนช่วงความถี่ที่แตกต่างกัน
 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การส่งสัญญาณแบบบรอดแบนด์
สื่อสารกลางส่งข้อมูลแบบใช้สาย จะใช้สายเพื่อลำเลียงข้อมูล ตัวอย่างเช่น สายคู่บิดเกลียว สายโคกแอกเชียล และสายใยแก้วนำแสง
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สื่อสารกลางส่งข้อมูลแบบใช้สาย
สื่อสารกลางส่งข้อมูลแบไร้สาย จะ ลำเลียงข้อมูลผ่านอากาศ  เนื่องจากอากาศมีพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแพร่กระจ่ายอยู่ทั่วไป ซึ่งมีทั้งคลื่นความถี่ต่ำและคลื่นความถี่สูง ตัวอย่างเช่น 
คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ บลูทูธ  และอินฟราเรด
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
การพิจารณาสื่อกลางส่งข้อมูล จะพิจารณาจาก
1.ต้นทุน
2.ความเร็ว
3.ระยะทางและการขยาย
4.สภาพแวดล้อม
5.ความปลอดภัย
วิธีการเข้าถึงสื่อกลาง เป็นกลางนำโพรโทคอลมาใช้เพื่อควบคุมกลไกการส่งข้อมูล และวิธีการแก้ไขเมื่อเกิดการชนกันของกลุ่มข้อมูลขึ้นภายในสายส่ง  โพรโทคอลที่นำมาใช้จัดการ ได้แก่ CSMA/CD และ Token passing 
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วิธีการเข้าถึงสื่อกลาง 
โพรโทคอล CSMA/CD ประกอบด้วยกลไกการทำงาน ดังนี้
กลไกลที่1:  การตรวจฟังสัญญาณ
กลไกลที่2:  การเข้าถึงสื่อกลางร่วมกัน
กลไกลที่3:  การตรวจจับการชนกัน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ CSMA/CD
โพรโทรคอล  Token passing เป็นวิธีการเข้าถึงสื่อกลางที่ไม่มีการชนกันของกลุ่มข้อมูลเลย ทั้งนี้จะมีรหัสโทเก้นคอยวิ่งอยู่บนสายส่งเพื่อให้โหนดที่ต้องการส่งได้ ครอบครอง โดยโหนดที่ครอบครองรหัสโทเก้นเท่านั้น ที่จะสามารถส่งข้อมูลบนเครือข่ายได้ เมื่อส่งข้อมูลเสร็จสมบูรณ์จึงค่อยปลดรหัสโทเก้น เพื่อให้ดหนดอื่นๆครอบครองต่อไป
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Token passing
บทที่ 2 แบบจำลองเครือข่าย
 
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แบบจำลอง OSI สำหรับเครือข่าย

แบบจำลอง OSI สำหรับเครือข่าย
                กระบวนการ สื่อสารข้อมูลบนเครือข่ายจำเป็นต้องมีมาตรฐานในการสื่อสาร ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวจะครอบคลุมเรื่องการรับส่งข้อมูล การเข้ารหัส การตรวจจับข้อมูลผิดพลาด ดังนั้นหน่วยงานกำหนดมาตรฐาน หรือที่เรียกสั้นๆว่า ISO ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบามสำคัญต่อการกำหนดมาตรฐานสากล โดย ISO ได้มีการกำหนดระบบเปิดที่เรียกว่าแบบจำลง OSI (Open Systems Interconnection) เพื่อใช้สำหรับเป็นแบบจำลองเพื่อการอ้างอิงบนเครือข่ายตามมาตรฐานสากล
                จุดประสงค์ของแบบจำลอง OSI ก็ เพื่ออนุญาตให้ระบบที่มีความแตกต่างกันสามารถสื่อสารกันได้ ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่าพีซีคอมพิวเตอร์กับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์นั้นใช้ สถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน โดยต่างก็ใช้ระบบปฏิบัติการและโปรแกรมประยุกต์ที่แตกต่างกัน ทำให้ทั้งสองระบบไม่สามารถสื่อสารกันได้ เนื่องจากเป็นคนละระบบหรือมีแพลตฟอร์ม (Platform) ที่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตา นั่นไม่ใช้ปัญหาด้านการสื่อสารข้อมูลที่จะทำให้คอมพิวเตอร์ต่างระบบจขะไม่ สามารถสื่อสารกันได้ กล่าวคือแบบจำลอง OSI นี้เจะอนุญาตให้ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความแตกต่างกันในสถาปัตยกรรรมสมารถสื่อสารร่วมกันได้โดยปราศจากข้อจำกัดใดๆ และที่สำคัญ แบบจำลอง OSI จัด เป็นแบบจำลองที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความเข้าใจในสถาปัตยกรรมเครือข่ายลำมา ประยุกต์ใช้ในระบบการสื่อสารระดับสากลภายใต้มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ tcp/ip คือ

             แบบจำลอง OSI ประกอบไปด้วยชั้นสื่อสาร 7 ชั้นด้วยกัน





        1.ชั้นสื่อสารทางกายภาพ (Physical Layer) จะ มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะทางกายภาพด้านการสื่อสารระหว่งอุปกรณ์ ด้วยการกำหนดวิธีควบลคุมการรับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ในระดับ บิต จะต้องใช้แรงดันไฟฟ้าเท่าใด ใช้สายเคเบิลชนิดใดในการรับส่งสัญญาณ การส่งข้อมูลเป็ฯแบบทิศทางเดียวหรือสองทิศทาง จะต้องเริ่มต้นติดต่อหรือสิ้นสุดการติดต่ออย่างไร รวมถึงลักษณะการเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายในเครือข่ายเป็นต้น

       2. ชั้นสื่อสารเชื่อมต่อข้อมูล (Data Link Layer) เป็น ชั้นสิ่สารที่รวบรวมข้อมูลจากชั้นสื่อสารทางกายภาพ ด้วยการกำหนดรูปแบบของข้อมูลที่ส่งผ่านยภายในเครือข่ายให้อยู่ในรูปแบบของ เฟรม (Frame) ทั้งนี้ จะรวมถึงวิธีหรือกลไกในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วย กล่าวคือ การส่งข้อมูลในเครือข่าย ข้อมูลที่ถูกส่งไปมีโอกาสที่จะสูญหายหรือมีความเสียหายบางส่วนได้ ดังนั้นชั้นสื่อสารเชื่อมต่อข้อมูลนี้จะดำเนินการตรวจสอบความผิดปกติเหล่า นี้ได้ โดยหากพบความผิดปกติขึ้น ก็จะแจ้งข้อมูลกลับไปยังผู้ส่งให้รับทราบเพื่อส่งข้อมูลชุดเดิมซ้ำกลับมา ใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม การส่งข้อมูลซ้ำกลับมาใหม่ในบางครั้งอาจทำให้เกิดข้อมูลชุดเดียวกันซ้ำกัน ถึง 2 เฟรมก็ได้ เนื่องจากชุดข้อมูลที่ส่งไปครั้งแรกความจริงแล้วอาจไม่ได้สูญหายไปไหน แต่อาจเกิดปัญหาระหว่างการเดินทางส่งผลให้ต้องใช้เวลาเดินทางไปยังจุดหมาย ปลายทางมากกว่าปกติทั่วไป ดังนั้นกรณีที่ค้นพบข้อมูลชุดเดียวกันซ้ำถึง 2 เฟรม ก็จะต้องมีกลบไกในการกำจัดเฟรมข้อมูลซ้ำซ้อนเหล่านี้ออก

       3.ชั้นสื่อสารควบคุมเครือข่าย (Network Layerจะทำหน้าที่จัดการกับรูปแบบข้อมูลที่เรียกว่า แพ็กเก็ต (Packet) ที่ จัดส่งไปยังจุดหมายปลายทางที่ประกอบไปด้วยเครือข่ายย่อยต่างๆจำนวนมากมาย โดยมีวัตถุประสงค์คือ จะต้องมีการวางเส้นทางเดินของข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทางอย่างไร เพื่อให้โหนดที่ทำหน้าส่งข้อมูล สมารถส่งข้อมูลไปยังโหนดปลายทางได้ในที่สุด

      4.ชั้นสื่อสารเพื่อนำส่งข้อมูล (Trasport Layer) เป็น ชั้นสื่อสารที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดที่มีการรับส่งกันระหว่างโหนด ต้นทางจนกระทั่งถึงโหนดปลายทาง ด้วยการรับประกันว่าข้อมูลจะถูกส่งไปถึงมือผู้รับอย่างแน่นอน และอาจจำเป็นต้องมีการส่งข้อมูลใหม่ในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น

      5.ชั้นสื่อสารควบคุมหน้าต่างสื่อสาร (Session Layer) ชั้น สื่อสารนี้จะดูแลและจัดการการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ปลายทาง โดยเริ่มตั้งแต่การสร้างคอนเน็กชั่นเพื่อการติดต่อสื่อสารไปจนกระทั่งยุติ การสารสื่อด้วยการยกเลิกคอนเน็กชั่นระหว่างอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม หสกการสื่อสารในชั้นนี้เกิดความล้มเหลวขึ้นมา ย่อมทำให้ข้อมูลเสียหาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเริ่มต้นการทำงานรอบใหม่บนหน้าต่างสื่อสารนั้น ตัวอย่างเช่น มีการเปิดหน้าต่างสื่อสารเพื่อการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างต้นทางไปยังปลายทาง หากเกิดการส่งข้อมูลล้มเหลวไปกลางคัน ก็อาจจำเป็นต้องยกเลิกหน้าต่างสื่อสารนั้น และเปิดหน้าต่างสื่อสารใหม่เพื่อดำเนิการถ่ายโอนข้อมูลกันรอบใหม่ เป็นต้น

      6.ชั้นสื่อสารนำเสนอข้อมูล (Presentatiion Layer) จะ ดำเนินการแปลงรูปแบบข้อมูลที่ได้รับมาจากชั้นสื่อสาการประยุกต์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับรหัสแทนข้อมูลที่อาจมาจากระบบคอมพิวเตอร์ที่มีแพลตฟอร์ม ที่แตกต่างกัน เช่น เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ใช้รหัสแทนข้อมูลแบบ EBCDIC ในขณะที่เครื่องพีซีคอมพิวเตอร์ใช้รหัสแทนข้อมูลแบบ ASCII ดังนั้น ชั้นสื่อสารนี้จะดำเนินการจัดการเพื่อให้ทั้งสองฝั่งสามารถเข้าใจความหมาย และรับทราบข้อมูลที่ตรงกัน ถึงแม้คอมพิวเตอร์ที่สื่อสารกันจะใช้รหัสแทนข้อมูลที่แตกต่างกันก็ตาม

      7.ชั้นสื่อสารการประยุกต์ (Application Layer) เป็น ชั้นสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของโปรแกรมประยุกต์ต่างๆที่ใช้สำหรับ การติดต่อสื่อสาร ผู้ใขช้งานสามารถใช้โปรแกรมประยบุกต์ต่างๆเพื่อเข้าถึงเครือข่าย โดยจะมีอินเตอร์เฟซเพื่อให้การโต้ตอบกันระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ที่ สื่อสารกันจะใช้รหัสแทนข้อมูลที่แตกต่างกันก็ตาม


วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์

















สรุปท้ายบทที่ 1

การสื่อสารข้อมูล เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสองอุปกรณ์ โดยมีจุดประสงค์หลักคือ ต้องการส่งข่าวสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่ 1


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การสื่อสารข้อมูล





สัญญาณแอนะล็อก เป็นสัญญาณที่เป็นรูปคลื่นขึ้นลงสลับกันไปแบบต่อเนื่อง สามารถส่งข้อมูล
ออกไปได้บนระยะทางที่ไกล


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สัญญาณแอนะล็อก



สัญญาณดิจิตอล เป็นสัญญาณที่มีรูปแบบไม่ต่อเนื่อง รูปแบบของแรงดันไฟฟ้าจะมีค่า   0 หรือ 1 เท่านั้น ข้อดีของสัญญาณชนิดนี้ก็คือ เป็นสัญญาณที่ทนต่อสัญญาณรบกวนได้ดี




ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สัญญาณดิจิตอล




ส่วนประกอบของระบบการสื่อสาร ประกอบด้วย
1. ข่าวสาร
2. ผู้ส่ง ( แหล่งกำเนิดข่าวสาร )
3. ผู้รับ ( จุดมุ่งหมายปลายทาง )
4. สื่อกลางส่งข้อมูล
5. โพรโทคอล
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ส่วนประกอบของระบบการสื่อสาร



คุณสมบัติพื้นฐาน 3 ประการของการสื่อสารข้อมูล ประกอบด้วย
1. การส่งมอบ
2. ความถูกต้องแน่นอน
3. ระยะเวลา

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ คุณสมบัติพื้นฐาน 3 ประการของการสื่อสารข้อมูล ประกอบด้วย

ทิศทางการส่งข้อมูล ในระบบการสื่อสารมี 3 รูปแบบด้วยกัน คือ

1. การสื่อสารแบบทิศทางเดียว (Simplex)


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การสื่อสารแบบทิศทางเดียว (Simplex)


2. การสื่อสารแบบกึ่งสองทิศทาง (Half-Duplex)




ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การสื่อสารแบบกึ่งสองทิศทาง (Half-Duplex)






3. การสื่อสารแบบสองทิศทาง (Full-Duplex)


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ . การสื่อสารแบบสองทิศทาง (Full-Duplex)


การสื่อสารโทรคมนาคม เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องส่งทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถส่งผ่านตัวกลางไปยังจุดหมายปลายทางที่อยู่ระยะไกลได้ ตัวอย่างเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม เช่น โทรเลข โทรพิมพ์ โทรสาร โทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง ไมโครเวฟ และดาวเทียม



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การสื่อสารโทรคมนาคม






เครือข่ายคอมพิวเตอร์  เป็นการนำกลุ่มคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย และสามารถแชร์ทรัพยากรบนเครือข่าย เช่น ไฟล์ข้อมูล หรือเครื่องพิมพ์ เพื่อใช้งานร่วมกันบนเครือข่ายได้





ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เครือข่ายคอมพิวเตอร์


ระเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่แบ่งแยกตามภูมิศาสตร์ มีอยู่ 3 ประเถทด้วยกันคือ

1.เครือข่ายท้องถิ่น(LAN)

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ 1.เครือข่ายท้องถิ่น(LAN)


2.เครือข่ายระดับเมือง(MAN)



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เครือข่ายระดับเมือง(MAN)



3.เครือข่ายระดับประเทศ(WAN)

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เครือข่ายระดับประเทศ(WAN)



ประโยชน์ของเครือข่ายท้องถิ่น ประกอบด้วย
1.การใช้ทรัพยากรร่วมกัน
2.ช่วยลดต้นทุน
3.เพิ่มความสะดวกในด้านการสื่อสาร
4.ความเชื่อถือและความปลอดภัยของระบบ

การติดตั้งเครือข่ายเพื่อใช้งาน ยังสามารถเลือกการเชื่อต่อตามสถาปัตยกรรมเครือข่ายที่เหมาะสมอันได้แก่ เครือข่ายแบบ Peer-to-Peer และแบบ Client/Server


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Peer-to-Peer และแบบ Client/Server





        เกณฑ์วัดประสิทธิภาพของเครือข่าย สามารถพิจารณาจากกฎเกณฑ์ต่อไปนี้
1.สมรรถนะ ได้แก่ จำนวนผู้ใช้งานชนิดสื่อกลางที่ใช้ อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์
2.ความน่าเชื่อถือ ได้แก่ ความถี่ของความล้มเหลว ระยะเวลาในการกู้คืน และความคงทนต่อความล้มเหลว
3.ความปลอดภัย ได้แก่ การป้องกันบุคคลที่ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล และ การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์


อ้างอิง

หนังสือการสื่อสารข้อมูลในเครือข่าย
http://www.ky.ac.th/kong/Main631.html
https://sites.google.com/site/jariyakps/swn-prakxb-khxng-rabb-suxsar-khxmul
https://sites.google.com/site/40948apisara/home/thisthang-khxng-kar-suxsar-khxmul
https://mind42.com/public/aaf2f538-1c8d-45fd-9fe9-d41d91772dd1
http://pop-comnetwork.blogspot.com/2015/11/4-peer-to-peer-clientserver.html